มือหัดเล่นปลากัด
. ปลาลักษณะดี เป็นอย่างไร
2. ดูอย่างไรว่าปลาที่เราจะฃื้อเกล็ดแข็ง+หนา
3..ไล่ปลาเพื่ออะไร ,พาลปลาเพื่ออะไร แต่ละวิธีควรทำตอนไหน
4.เวลาทำปลาไว้กัด ดูอย่างไรว่าปลาของเราพร้อมกัดแล้ว
5. เกล็ดปลาเรียบกับเกล็ดยังไม่เรียบสนิทดูยังไง
6. จะรู้ได้อย่างไรว่าปลาเรามีเคี้ยวหรือไม่
7.(ปลาที่เราจะไปฃื้อจากบ่อควรเป็นปลาที่ไม่มีตำหนิ)
ปลาที่มีตำหนิ เช่นอะไรบ้าง
8. สิวที่ปากปลาเกิดจากอะไร
9. ถ้าจะฃื้อปลาจากบ่อมาเก็บไว้กับเราเกิน 1 เดือน จะมี
ผลต่อปลาเราไหม เช่น แข็งแรงน้อยลง
10. น้ำเลี้ยงมีผลกี่ เปอร์เฃนต์ต่อปลาที่จะนำไปกัด
11. น้ำเลี้ยงที่ดีควรเป็นอย่างไร
12. ปลาที่กัดแบบไหนจึงเรียกว่าเชิงดี
13. ตีปลากลางอย่างไรจึงจะถูกต้อง ไม่เสียเปรียบคู่ต่อสู้
14.ช่วงนี้เข้าหน้าร้อนแล้วปลาที่ไหนกำลังกัดเก่งบ้าง***********************************************************
ตอบ
1.ปลาลักษณะดีที่เป็นปลากัดเก่ง ลักษณะภายนอก มีอวัยวะครบสมบูรณ์ ไม่ใหญ่ยาวมากนัก ลำตัวหนาบริเวณลำคอใหญ่เป็นสัน ปากใหญ่งุ้มเล็กน้อย
2.เกล็ดปลาเป็นมันวาว เรียงเป็นระเบียบ หนาหรือแข็ง ขึ้นอยู่กับคนเลี้ยงจะรู้วิธีการหมักปลาให้ได้วังหวะพอดีก่อนลงบ่อน
3.การไล่ปลา และพาลปลา เป็นการสร้างความแข็งแรงให้กับปลาของเราที่จะนำแแกกัดให้มีพละกำลัง โดยนำปลาลงไล่ลูกไล่ในตอนเช้า ๆ ทุกวัน เพื่อสร้างกำลังกายและความหึกเหิม ส่วนการพาลปลาก็คล้าย ๆ กัน แต่ปล่อยลงให้ตัวเมียตัวเดียวไล่ เป็นการสร้างความสบายให้ปลา ได้ออกกำลังกายอย่างมีความสุข และนักเลงบางคนยังสร้างความแข็งแรงให้ปลาของเขาโดยการนำปลาลงปล่อยในน้ำวน โดยการเอาอ่างหรือโหลใหญ่ ๆ ใส่นำแล้วเอามือลงกวนน้ำให้วนเป็นวงกลม แล้วปล่อยปลาลงว่ายน้ำทวนน้ำวน เป็นการสร้างความแข็งแรงให้ปลา ทน และอึด
4.ไม่ต้องดูอย่างไรเลย ให้นับถอยหลังจากวันกำหนดกัด ขึ้นมาถึงวัน เริ่มเลี้ยง ฟิต ประมาณ 10 วัน พอ เลี้ยงนานเกินไปไม่ดี ใน 10 วันที่เลี้ยงก่อนจะนำออกกัดให้เลี้ยง หมัก ให้อาหาร ออกกำลังกาย และพักผ่อน เป็นอย่างดี
5.เกล็ดปลาหลังจากหมักจนได้ที่จะดีเอง การเลี้ยงดู เอาใจใส่ อย่าให้ปลาอด จนหิวกัดขวดเวลามดคลานข้างขวดทำให้ปากปลาเสียหายได้ต้องระวัง เรื่องอาหารอย่าให้อ้วน หรือผอมเกินไป หลังให้อาหารต้องปล่อยปลาลงไล่สักนิด เพื่อให้ปลาถ่ายมูลออก มา การทำให้ปลาถ่าย จะทำให้ปลาสบายตัว เวลานอน ต้องมีใบไม้ (ใบตอง หรือใบหูกวาง)ให้ปลาได้นอนที่ผิวน้ำ ปลาจะได้รับออกฅิเจนจากอากาศด้วย
6. ปลามีเคี้ยวหรือไม่ ต้องดูตั้งแต่อยู่ในบ่อเลี้ยงแล้ว เวลาเราให้หอยกาบแก่ปลาเป็นอาหาร ปลาเราตอดเนื้อหอยขาดไปหรือไม่ ถ้าหอยขาดแสดงว่าปลาครอกนี้คม มีเคี้ยว แต่ถ้าตอดกินแล้วกัดปากติดอยู่กับเนื้อหอยแสดงว่าไม่คม ไม่มีเคี้ยว อีกวิธีคือเอาปลา 2 ตัวในครอกแล้วกันมากัดดู แป็บเดียวก็รู้ว่าคมหรือไม่ การชักเคี้ยวปลาต้องเริ่มหัดชักเคี้ยวตั้งแต่ปลา อายุ 2 เดือนแล้ว โดยการเอาหอยกาบมาผ่า แล้วเสียบก้านกล้วยลอยให้ปลากิน ชักเคี้ยวได้ดีนักแล
7.ปลามีตำหนิ ทุกอย่างเป็นตำหนิ อวัยวะไม่ครบสมบูรณ์ หลังคดบริเวณโคนหางมักคด ดูข้างขวดไม่ค่อยรู้ ค้องมองจากด้านบนปากขวด ปลาเข้าบ่อนต้องเลือกปลาที่สมบูรณ์สุด ๆ สิวที่ปากก็เป็นตำหนิ ปากปิด เ ปี้ยว หรือปากเน่าใช้ไม่ได้ทั้งนั้น
9.ตอบไปแล้ว ไม่ควรเลี้ยงนานเกินไป
10.11. วิธีการเลี้ยงของเราปลาเรา เราเลี้ยงสมบูรณ์ ไล่ถึง
12. เหล่าใครเหล่ามัน เช่น กัดบ่อเลือด 3 ครั้งติด ๆ กัน เลือดไหลเป็นสาย และกัดคู่ต่อสู้ตายในที่สุด
13.ปลากลาง แล้วแต่ข้อตกลงของแต่ละบ่อนว่าตั้งกติกาว่าอย่างไร ถ้าเลี้ยงปลากัดจนถึงลงปลากลางผมว่าไม่เก่งทั้งคู่ จึงต้องพึ่งกรรมการ
14. ในตลาดสดหัวหิน ลองไปสืบดู ปลาที่นี่เขาเก่ง กัดโดยไม่ต้องใช้กรรมการกลาง
ด.ช.อภิสิทธิ์ สุวลักษณ์ เลขที่ 3 ม.2/1
ด.ช.สมชาย ดวงดาว เลขที่ 28 ม.2/1
วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555
ประวัติปลากัดไทย

ประวัติปลากัดไทย
ปลากัด ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens และมีชื่อสามัญว่า Siamese Fighting Fish เป็นปลาพื้นเมืองของไทยที่นิยมเพาะเลี้ยงเป็นเวลานานแล้ว ทั้งนี้เพื่อไว้ดูเล่นและเพื่อกีฬากัดปลาและเป็นที่รู้จักกันดีในต่างประเทศมานานเช่นกัน ปัจจุบันประเทศไทยมีการเพาะเลี้ยงปลากัดกันแพร่หลาย เนื่องจากเป็นปลาที่เลี้ยงและเพาะพันธุ์ได้ง่าย จึงเหมาะสมสำหรับผู้ที่หัดเริ่มเลี้ยงปลา ต้องการดูแลเอาใจใส่ไม่มากนัก และไม่จำเป็นที่ต้องเปลี่ยนน้ำบ่อยมากเนื่องจากมีอวัยวะช่วยหายใจพิเศษที่เรียกว่า labyrinth โดยทำให้สามารถดึงออกซิเจนจากอากาศได้ ในธรรมชาติแล้วพบได้ทั่วไปในน้ำที่นิ่ง หรือน้ำที่มีออกซิเจนต่ำ นอกจากนั้นพบในนาข้าว และกระจายทั่วไปในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปลากัดเลี้ยงมีอายุเฉลี่ย 2 ปีหรือน้อยกว่า
ปลากัดพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ มีสีน้ำตาลขุ่นหรือสีเทาแกมเขียว มีลายตามตัว ครีบ และหางสั้น ปลาเพศผู้มีครีบและหางยาวกว่าเพศเมียเล็กน้อย จากการเพาะพันธุ์และการคัดเลือกพันธุ์ติดต่อกันมานาน ทำให้ได้ปลากัดที่มีสีสวยงามหลายสี อีกทั้งลักษณะครีบก็แผ่กว้างใหญ่สวยงามกว่าพันธุ์ดั่งเดิมมาก และจากสาเหตุนี้ทำให้มีการจำแนกพันธุ์ปลากัดออกไปได้เป็นหลายชนิด เช่น ปลากัดหม้อ ปลากัดทุ่ง ปลากัดจีน ปลากัดเขมร เป็นต้น การแพร่กระจายของปลากัดพบทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย อาศัยอยู่ในอ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ หนอง บึง แอ่งน้ำ ลำคลอง ฯลฯ
ในการเลี้ยงปลากัดเพื่อการต่อสู้ มีการคัดเลือกพันธุ์ให้มีคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถใช้ในการต่อสู้ โดยเริ่มต้นจากการรวบรวมปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเรียกกันว่า "กัดป่า หรือ กัดทุ่ง" โดยมีลำตัวค่อนข้างเล็กบอบบาง สีน้ำตาลขุ่น หรือเทาแกมเขียว มีการนำมาเพาะเลี้ยงและคัดพันธุ์หลายชั่วอายุ จนได้ปลาที่มีรูปร่าง แข็งแรง ลำตัวหนาและใหญ่ขึ้นเพื่อใช้ในกีฬากัดปลาซึ่งนิยมเรียกปลากัดชนิดนี้ว่า "กัดเก่ง" นอกจากนั้นปลากัดไทยนี้ยังได้มีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้มีสีสันสวยสด มีผู้เลี้ยงปลากัดหลายรายได้มีการพัฒนาปลากัดที่ได้จากการคัดพันธุ์และผสมข้ามพันธุ์ปลากัด โดยเน้นความสวยงามเพื่อเลี้ยงไว้ดูเล่น โดยคัดพันธุ์เพื่อให้ได้ปลาที่มีครีบยาว สีสวย ซึ่งนิยมเรียกปลากัดลักษณะเช่นนี้ว่าปลากัดจีน หรือ ปลากัดเขมร ซึ่งต่างประเทศรู้จัดปลากัดในนาม Siamese fighting fish
ในปัจจุบัน การพัฒนาสายพันธุ์ปลากัดกำลังเป็นที่ยอมรับ และได้รับความนิยมจากนักเลี้ยงปลากัดเพื่อความสวยงาม แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ปัจจุบันนี้ ปลากัดมีสีสรรสวยงามมากตั้งแต่ สีเหลืองทั้งตัว สีฟ้า Half moon มีเรื่องอ้างอิงกันมาถึงการพัฒนาสายพันธุ์ปลากัด โดยใช้สภาพแวดล้อมเป็นตัวเหนี่ยวนำ ด้วยมีความเชื่อว่า ปลาที่มีสีสรรสวยงามต่าง ๆ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการถ่ายทอดความรู้สึกของเพศเมีย ไปยังลูกปลา ได้มีการนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้ในบรรดานักเพาะปลาทั้งหลายโดยการวาดรูปปลากัดที่มีสีสรรตามที่ต้องการ เช่น สีเหลืองทั้งตัว ตั้งวางโดยรอบปลาเพศเมียในระหว่างที่ทำการเทียบคู่นั้น วิธีการนี้เรียกว่า Pseudo-breeding technique ถึงแม้ว่าจะไม่มีการพิสูจน์ออกมาทางวิชาการแต่ก็ได้รับการยืนยันจากนักเพาะเลี้ยงทั้งหลายว่า พบว่าคอกหนึ่ง ๆ ที่ได้ลูกปลาออกมานั้นจะมี 1 - 2 ตัวที่มีลักษณะเหมือนกับภาพที่วาดไว้
ปลากัดพันธุ์ดั้งเดิมในธรรมชาติ มีสีน้ำตาลขุ่นหรือสีเทาแกมเขียว มีลายตามตัว ครีบ และหางสั้น ปลาเพศผู้มีครีบและหางยาวกว่าเพศเมียเล็กน้อย จากการเพาะพันธุ์และการคัดเลือกพันธุ์ติดต่อกันมานาน ทำให้ได้ปลากัดที่มีสีสวยงามหลายสี อีกทั้งลักษณะครีบก็แผ่กว้างใหญ่สวยงามกว่าพันธุ์ดั่งเดิมมาก และจากสาเหตุนี้ทำให้มีการจำแนกพันธุ์ปลากัดออกไปได้เป็นหลายชนิด เช่น ปลากัดหม้อ ปลากัดทุ่ง ปลากัดจีน ปลากัดเขมร เป็นต้น การแพร่กระจายของปลากัดพบทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย อาศัยอยู่ในอ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ หนอง บึง แอ่งน้ำ ลำคลอง ฯลฯ
ในการเลี้ยงปลากัดเพื่อการต่อสู้ มีการคัดเลือกพันธุ์ให้มีคุณสมบัติเฉพาะที่สามารถใช้ในการต่อสู้ โดยเริ่มต้นจากการรวบรวมปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเรียกกันว่า "กัดป่า หรือ กัดทุ่ง" โดยมีลำตัวค่อนข้างเล็กบอบบาง สีน้ำตาลขุ่น หรือเทาแกมเขียว มีการนำมาเพาะเลี้ยงและคัดพันธุ์หลายชั่วอายุ จนได้ปลาที่มีรูปร่าง แข็งแรง ลำตัวหนาและใหญ่ขึ้นเพื่อใช้ในกีฬากัดปลาซึ่งนิยมเรียกปลากัดชนิดนี้ว่า "กัดเก่ง" นอกจากนั้นปลากัดไทยนี้ยังได้มีการพัฒนาสายพันธุ์เพื่อให้มีสีสันสวยสด มีผู้เลี้ยงปลากัดหลายรายได้มีการพัฒนาปลากัดที่ได้จากการคัดพันธุ์และผสมข้ามพันธุ์ปลากัด โดยเน้นความสวยงามเพื่อเลี้ยงไว้ดูเล่น โดยคัดพันธุ์เพื่อให้ได้ปลาที่มีครีบยาว สีสวย ซึ่งนิยมเรียกปลากัดลักษณะเช่นนี้ว่าปลากัดจีน หรือ ปลากัดเขมร ซึ่งต่างประเทศรู้จัดปลากัดในนาม Siamese fighting fish
ในปัจจุบัน การพัฒนาสายพันธุ์ปลากัดกำลังเป็นที่ยอมรับ และได้รับความนิยมจากนักเลี้ยงปลากัดเพื่อความสวยงาม แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ปัจจุบันนี้ ปลากัดมีสีสรรสวยงามมากตั้งแต่ สีเหลืองทั้งตัว สีฟ้า Half moon มีเรื่องอ้างอิงกันมาถึงการพัฒนาสายพันธุ์ปลากัด โดยใช้สภาพแวดล้อมเป็นตัวเหนี่ยวนำ ด้วยมีความเชื่อว่า ปลาที่มีสีสรรสวยงามต่าง ๆ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการถ่ายทอดความรู้สึกของเพศเมีย ไปยังลูกปลา ได้มีการนำเทคนิคเหล่านี้มาใช้ในบรรดานักเพาะปลาทั้งหลายโดยการวาดรูปปลากัดที่มีสีสรรตามที่ต้องการ เช่น สีเหลืองทั้งตัว ตั้งวางโดยรอบปลาเพศเมียในระหว่างที่ทำการเทียบคู่นั้น วิธีการนี้เรียกว่า Pseudo-breeding technique ถึงแม้ว่าจะไม่มีการพิสูจน์ออกมาทางวิชาการแต่ก็ได้รับการยืนยันจากนักเพาะเลี้ยงทั้งหลายว่า พบว่าคอกหนึ่ง ๆ ที่ได้ลูกปลาออกมานั้นจะมี 1 - 2 ตัวที่มีลักษณะเหมือนกับภาพที่วาดไว้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)